วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คุยก่อนขำ



คุยก่อนขำ

ผมเป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องตลกๆขำๆ จำได้ว่าสมัยเด็กๆผมชอบซื้อหนังสือประเภท หนูจ๋า ขายหัวเราะ ต่วยตูน อะไรทำนองนี้ ซึ่งนอกจากจะมีการ์ตูนขำขันให้ดูแล้ว ในหนังสือยังมี เรื่องขำขันสั้นๆ แทรกอยู่เป็นช่วงๆในหนังสือด้วย
พอ ได้มาทำงาน ในฐานะวิทยากรที่ต้องพูดบรรยายในที่ต่างๆทั่วประเทศแล้ว การสอดแทรกเรื่องขำขันลงไปในแต่ละช่วงของการบรรยาย ก็สามารถช่วยสร้างเสริมบรรยากาศได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว ผมจึงได้สะสมเรื่องราวขำขันเอาไว้สำหรับใช้ประกอบในการบรรยายของผมเสมอมา
ซึ่ง เรื่องขำขันเหล่านั้น จะต้องไม่ใช่เรื่องประเภทสกปรกลามกจนน่าเกลียด และถ้าหากว่าคิดดีๆ ก็จะได้สาระดีๆมากมายเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วยังมอบความสุขด้วยความขำขันของมันอีกด้วย
ต่อ มาวิทยากรรุ่นน้องๆของผม ต่างก็อยากได้เรื่องราวเหล่านี้สะสมเอาไว้บ้าง เพื่อเติมสีสันให้กับการบรรยายของพวกเขา จึงขอให้ผมช่วยแบ่งปันบ้าง ตอนแรกๆผมก็ได้แบ่งปันโดยใช้วิธีการ โพสเรื่องขำขันเหล่านี้เอาไว้ในบล็อกของผมบนอินเตอร์เน็ท แต่พวกน้องๆก็ยังไม่พอใจ(อีก) บอกว่าอยากให้พิมพ์ออกมาเป็นเล่มเลย เพราะจะง่ายต่อการใช้งานและจัดเก็บ(ของพวกเขาอีกนะแหละ) ที่สุดก็เลยกลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้นี่เองครับ

กำลังใจจากรูปถ่าย


กำลังใจจากรูปถ่าย

      สม ชาย เป็นนักธุรกิจที่เคยประสบกับปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ซ้ำร้ายภรรยาของเขาก็ต้องมาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์อีก

แต่วันนี้ สมชาย กลับมาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง และได้รับรางวัล “บุคคลสู้ชีวิตแห่งปี” และในโอกาสที่เขาขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เขาได้กล่าวแสดงความรู้สึกของเขาบนเวทีอันทรงเกียรติว่า

เคล็ดลับ ที่ทำให้ผมผ่านอุปสรรคอันเลวร้ายต่างๆมาได้ก็เพราะ ผมพกภาพถ่ายของภรรยาผมติดตัวไว้ตลอดเวลา

สิ้น เสียงกล่าวสุนทรพจน์ของสมชาย เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยงแห่งนั้น โดยเฉพาะบรรดาคุณหญิงคุณนายที่มาร่วมงาน ต่างพากันสะกิดสามีของตัวเองให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง

เมื่องานเลี้ยงเลิก สมชาย ก็ควักรูปถ่ายของภรรยาออกมาดูอีกแล้วรำพึงรำพันกับ ภาพถ่ายว่า 
“ทุกครั้งที่ผมรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ก็มีภาพถ่ายของเธอนี่แหละที่ทำให้ผมคิดได้ว่า...ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าตอนที่อยู่กับเธออีกแล้ว !!!!”

........................................................................

ลูกค้ามาก่อนเสมอ


ลูกค้ามาก่อนเสมอ

ไอ้ หนุ่มลูกทุ่ง หอบสังขารสุดโทรมเข้าไปในธนาคาร เขาใส่เสื้อผ้าสกปรกเก่าขาดปุปะ กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง แล้วเขาก็พูดกับพนักงานสาวสวยที่เคาน์เตอร์ว่า

กูมาเปิดบัญชี
อะไรนะคะพนักงานสาวนึกว่าตัวเองหูฝาดไปจึงถามย้ำกลับไปว่า ไม่ทราบว่าคุณพูดว่าอะไรนะคะ

ฟังดีๆนะ อีห่า กูมาเปิดบัญชีกับธนาคารมึงนี่แหละ

สาวแบงค์อึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
ขอโทษจริงๆนะคะ คุณพูดจาหยาบคายอย่างนี้ ดิฉันคงไม่สามารถให้บริการกับคุณได้ คุณคงต้องรอพบกับผู้จัดการแล้วล่ะค่ะ

แล้วเธอก็รีบลุกไปปรึกษาเรื่องนี้กับผู้จัดการ สักครู่ผู้จัดการจึงออกมาช่วยเจรจาให้
ขอโทษนะครับ คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับผู้จัดการถามหนุ่มลูกทุ่ง

ไม่เห็นจะมีปัญหาห่าอะไร ไอ้หนุ่มว่า
กูแค่จะมาเปิดบัญชี แม่งเอ้ย โชคดีฉิบหา ถูกหวยตั้ง 84 ล้าน ขืนไม่เอามาฝากธนาคารห่านี่ พวกเอี้ยๆ แม่งมีหวังไถกูหมดตัวแน่ แถมอีคนเมื่อตะกี้มันก็ไม่ยอมฟังกูพูดเลย

อ้อเข้าใจแล้วครับผู้จัดการพยักหน้าหงึกๆ
อีหอกนั่นมันพูดไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวผมจะดำเนินการเปิดบัญชีให้คุณทันทีเลยครับ

.....................................................

ใครเจริญก่อนใคร?



ใครเจริญก่อนใคร?

ที่ประเทศจีน
มีการขุดค้นพบซากสายโทรศัพท์ในระดับความลึก 50 เมตร
ทั่วประเทศต่างพากันเฉลิมฉลอง แสดงความดีใจ
ด้วยเชื่อว่า เมืองจีนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 50 ปีก่อน

ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงขุดดินบ้างให้ลึกกว่า 100 เมตร ก็พบซากสายโทรศัพท์เช่นกัน
ทั่วประเทศต่างพากันจัดงานเฉลิมฉลอง ที่ยิ่งใหญ่กว่าจีนอีก
ด้วยเชื่อว่าประเทศของตนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อน

ประเทศไทย ก็คิดว่าน่าจะมีบ้าง
จึงขุดดินลงไประดับความลึก 200 เมตร ปรากฏว่าไม่เจออะไร
ทั่วประเทศจึงพากันจัดงานเฉลิมฉลองยินดีที่ยิ่งใหญ่กว่าใครๆ
ด้วยเชื่อว่า
เมืองไทยมีโทรศัพท์ไร้สายใช้แล้ว เมื่อ 200 ปีก่อน

........................................................................

มันมาจากญี่ปุ่น


มันมาจากญี่ปุ่น

นัก ท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย วันสุดท้ายของการเดินทาง หนุ่มชาวอาทิตย์อุทัยได้เรียกแท๊กซี่ไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ระหว่างทางมี รถยนต์ฮอนด้า ขับผ่านไป หนุ่มยุ่นรีบโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างแท๊กซี่ และ ตะโกนว่า

“รถฮอนด้า วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น”

หลังจากนั้นก็กลับเข้ามา นั่งในรถด้วยใจรักชาติ ขณะนั้น ได้มี รถโตโยต้า แล่นแซงแท็กซี่ไปอย่างเร็วอีก ชายคนนั้นทำเช่นเคย แล้วตะโกนว่า

รถโตโยต้า วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น”

ยังไม่ทันไร รถมิตซูบิชิ ก็แล่นผ่านไปอีก เขาก็รีบตะโกน

“รถมิตซู วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น

คนขับแท๊กซี่รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ก็ได้แต่เก็บไว้โดยที่ไม่พูดอะไร พอมาถึงที่สนามบิน มิเตอร์บอกราคาค่าโดยสาร 800 กว่าบาท หนุ่มญี่ปุ่นถึงกับใจหาย
โอโนว! ทำไมมันแพงยังงี้ คนขับจึงหันกลับไปบอกว่า

มิเตอร์นี้ วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น

........................................................................

ให้อะไรดี?


ให้อะไรดี?

กาลละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวสวยคนหนึ่งมีท่าทางกลุ้มใจ และได้กลับบ้านมาหาแม่ เพื่อขอคำปรึกษาว่า จะซื้ออะไรเป็นของขวัญวัน Valentine ให้กับแฟนหนุ่มดี

หญิงสาว        “คุณแม่ขาใกล้จะถึงวัน Valentine แล้วค่ะ จะซื้ออะไรให้เค้าดี
คุณแม่        “แฟนลูกเป็นคนยังงัยจ้ะ

หญิงสาว        “เป็นคนดีมากค่ะ หล่อเข้าขั้นนายแบบ มีความรับผิดชอบเหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เล่นการพนัน ไม่เจ้าชู้
คุณแม่        “เค้ามีพี่น้องกี่คนจ้ะ
หญิงสาว   เค้าเป็นลูกคนเดียวค่ะ
คุณแม่           “แล้วหน้าที่การงานของเค้าละลูก
หญิงสาว   “เค้าจบด๊อกเตอร์มาจากเมืองนอก หน้าที่การงานระดับผู้บริหาร ฐานะทางบ้านเข้าขั้นเศรษฐีเลยละค่ะคุณแม่ขา

คุณแม่     “ถ้างั้นแม่ว่า ให้ท่า เค้าเถอะลูก!!!”

.......................................................................

ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว!


ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว!

ไอ้ หนุ่มบ้านนอกคนหนึ่ง พาลูกเมียมากรุงเทพเป็นครั้งแรก เขาจึงพากันมาเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้า โดยเขาเดินนำหน้าภรรยามากับลูกชาย พวกเขาตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะ “ประตูสีเงินสองบาน” ซึ่งสามารถเปิดออกและหุบเข้ามาหากันด้วยตัวเองได้
“นั่นอะไรหรือพ่อ?” ลูกชายถาม
“พ่อก็ไม่เคยเห็นอะไรที่หน้าตาอย่างนี้มาก่อ เหมือนกัน”พ่อตอบ ขณะที่สองพ่อลูกยืนดูอยู่นั้นก็มี หญิงชราคนหนึ่ง นั่งรถเข็นไปที่หน้าประตู เมื่อกดปุ่มที่ผนัง ประตูก็เปิดออก หญิงชราเลื่อนรถเข็นเข้าไปในห้องเล็กๆนั้น แล้วประตูก็ปิดลงอีกที
สอง พ่อลูกยืนดูปุ่มเล็กๆ ที่มีตัวเลขเหนือประตูนั้นสว่างแล้วดับไล่กันไปช้าๆ เขาดูจนกระทั่งมันเลื่อนตำแหน่งไปถึงปุ่มสุดท้าย แล้วแสงไฟก็สว่างไล่กลับมาทางเดิม จนในที่สุดประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
คราวนี้มี สาวสวยคนหนึ่ง เดินออกมา ไอ้หนุ่มบ้านนอกยืนตาค้าง ก่อนที่จะกระซิบบอกลูกชายว่า

“ไอ้หนู ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว?”

.......................................................................