วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คุยก่อนขำ



คุยก่อนขำ

ผมเป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องตลกๆขำๆ จำได้ว่าสมัยเด็กๆผมชอบซื้อหนังสือประเภท หนูจ๋า ขายหัวเราะ ต่วยตูน อะไรทำนองนี้ ซึ่งนอกจากจะมีการ์ตูนขำขันให้ดูแล้ว ในหนังสือยังมี เรื่องขำขันสั้นๆ แทรกอยู่เป็นช่วงๆในหนังสือด้วย
พอ ได้มาทำงาน ในฐานะวิทยากรที่ต้องพูดบรรยายในที่ต่างๆทั่วประเทศแล้ว การสอดแทรกเรื่องขำขันลงไปในแต่ละช่วงของการบรรยาย ก็สามารถช่วยสร้างเสริมบรรยากาศได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว ผมจึงได้สะสมเรื่องราวขำขันเอาไว้สำหรับใช้ประกอบในการบรรยายของผมเสมอมา
ซึ่ง เรื่องขำขันเหล่านั้น จะต้องไม่ใช่เรื่องประเภทสกปรกลามกจนน่าเกลียด และถ้าหากว่าคิดดีๆ ก็จะได้สาระดีๆมากมายเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วยังมอบความสุขด้วยความขำขันของมันอีกด้วย
ต่อ มาวิทยากรรุ่นน้องๆของผม ต่างก็อยากได้เรื่องราวเหล่านี้สะสมเอาไว้บ้าง เพื่อเติมสีสันให้กับการบรรยายของพวกเขา จึงขอให้ผมช่วยแบ่งปันบ้าง ตอนแรกๆผมก็ได้แบ่งปันโดยใช้วิธีการ โพสเรื่องขำขันเหล่านี้เอาไว้ในบล็อกของผมบนอินเตอร์เน็ท แต่พวกน้องๆก็ยังไม่พอใจ(อีก) บอกว่าอยากให้พิมพ์ออกมาเป็นเล่มเลย เพราะจะง่ายต่อการใช้งานและจัดเก็บ(ของพวกเขาอีกนะแหละ) ที่สุดก็เลยกลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้นี่เองครับ

กำลังใจจากรูปถ่าย


กำลังใจจากรูปถ่าย

      สม ชาย เป็นนักธุรกิจที่เคยประสบกับปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ซ้ำร้ายภรรยาของเขาก็ต้องมาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์อีก

แต่วันนี้ สมชาย กลับมาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง และได้รับรางวัล “บุคคลสู้ชีวิตแห่งปี” และในโอกาสที่เขาขึ้นรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เขาได้กล่าวแสดงความรู้สึกของเขาบนเวทีอันทรงเกียรติว่า

เคล็ดลับ ที่ทำให้ผมผ่านอุปสรรคอันเลวร้ายต่างๆมาได้ก็เพราะ ผมพกภาพถ่ายของภรรยาผมติดตัวไว้ตลอดเวลา

สิ้น เสียงกล่าวสุนทรพจน์ของสมชาย เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยงแห่งนั้น โดยเฉพาะบรรดาคุณหญิงคุณนายที่มาร่วมงาน ต่างพากันสะกิดสามีของตัวเองให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง

เมื่องานเลี้ยงเลิก สมชาย ก็ควักรูปถ่ายของภรรยาออกมาดูอีกแล้วรำพึงรำพันกับ ภาพถ่ายว่า 
“ทุกครั้งที่ผมรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ก็มีภาพถ่ายของเธอนี่แหละที่ทำให้ผมคิดได้ว่า...ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าตอนที่อยู่กับเธออีกแล้ว !!!!”

........................................................................

ลูกค้ามาก่อนเสมอ


ลูกค้ามาก่อนเสมอ

ไอ้ หนุ่มลูกทุ่ง หอบสังขารสุดโทรมเข้าไปในธนาคาร เขาใส่เสื้อผ้าสกปรกเก่าขาดปุปะ กลิ่นเหงื่อปนกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง แล้วเขาก็พูดกับพนักงานสาวสวยที่เคาน์เตอร์ว่า

กูมาเปิดบัญชี
อะไรนะคะพนักงานสาวนึกว่าตัวเองหูฝาดไปจึงถามย้ำกลับไปว่า ไม่ทราบว่าคุณพูดว่าอะไรนะคะ

ฟังดีๆนะ อีห่า กูมาเปิดบัญชีกับธนาคารมึงนี่แหละ

สาวแบงค์อึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
ขอโทษจริงๆนะคะ คุณพูดจาหยาบคายอย่างนี้ ดิฉันคงไม่สามารถให้บริการกับคุณได้ คุณคงต้องรอพบกับผู้จัดการแล้วล่ะค่ะ

แล้วเธอก็รีบลุกไปปรึกษาเรื่องนี้กับผู้จัดการ สักครู่ผู้จัดการจึงออกมาช่วยเจรจาให้
ขอโทษนะครับ คุณมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับผู้จัดการถามหนุ่มลูกทุ่ง

ไม่เห็นจะมีปัญหาห่าอะไร ไอ้หนุ่มว่า
กูแค่จะมาเปิดบัญชี แม่งเอ้ย โชคดีฉิบหา ถูกหวยตั้ง 84 ล้าน ขืนไม่เอามาฝากธนาคารห่านี่ พวกเอี้ยๆ แม่งมีหวังไถกูหมดตัวแน่ แถมอีคนเมื่อตะกี้มันก็ไม่ยอมฟังกูพูดเลย

อ้อเข้าใจแล้วครับผู้จัดการพยักหน้าหงึกๆ
อีหอกนั่นมันพูดไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวผมจะดำเนินการเปิดบัญชีให้คุณทันทีเลยครับ

.....................................................

ใครเจริญก่อนใคร?



ใครเจริญก่อนใคร?

ที่ประเทศจีน
มีการขุดค้นพบซากสายโทรศัพท์ในระดับความลึก 50 เมตร
ทั่วประเทศต่างพากันเฉลิมฉลอง แสดงความดีใจ
ด้วยเชื่อว่า เมืองจีนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 50 ปีก่อน

ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงขุดดินบ้างให้ลึกกว่า 100 เมตร ก็พบซากสายโทรศัพท์เช่นกัน
ทั่วประเทศต่างพากันจัดงานเฉลิมฉลอง ที่ยิ่งใหญ่กว่าจีนอีก
ด้วยเชื่อว่าประเทศของตนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อน

ประเทศไทย ก็คิดว่าน่าจะมีบ้าง
จึงขุดดินลงไประดับความลึก 200 เมตร ปรากฏว่าไม่เจออะไร
ทั่วประเทศจึงพากันจัดงานเฉลิมฉลองยินดีที่ยิ่งใหญ่กว่าใครๆ
ด้วยเชื่อว่า
เมืองไทยมีโทรศัพท์ไร้สายใช้แล้ว เมื่อ 200 ปีก่อน

........................................................................

มันมาจากญี่ปุ่น


มันมาจากญี่ปุ่น

นัก ท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย วันสุดท้ายของการเดินทาง หนุ่มชาวอาทิตย์อุทัยได้เรียกแท๊กซี่ไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ระหว่างทางมี รถยนต์ฮอนด้า ขับผ่านไป หนุ่มยุ่นรีบโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างแท๊กซี่ และ ตะโกนว่า

“รถฮอนด้า วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น”

หลังจากนั้นก็กลับเข้ามา นั่งในรถด้วยใจรักชาติ ขณะนั้น ได้มี รถโตโยต้า แล่นแซงแท็กซี่ไปอย่างเร็วอีก ชายคนนั้นทำเช่นเคย แล้วตะโกนว่า

รถโตโยต้า วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น”

ยังไม่ทันไร รถมิตซูบิชิ ก็แล่นผ่านไปอีก เขาก็รีบตะโกน

“รถมิตซู วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น

คนขับแท๊กซี่รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ก็ได้แต่เก็บไว้โดยที่ไม่พูดอะไร พอมาถึงที่สนามบิน มิเตอร์บอกราคาค่าโดยสาร 800 กว่าบาท หนุ่มญี่ปุ่นถึงกับใจหาย
โอโนว! ทำไมมันแพงยังงี้ คนขับจึงหันกลับไปบอกว่า

มิเตอร์นี้ วิ่งเร็วมาก มันมาจากญี่ปุ่น

........................................................................

ให้อะไรดี?


ให้อะไรดี?

กาลละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสาวสวยคนหนึ่งมีท่าทางกลุ้มใจ และได้กลับบ้านมาหาแม่ เพื่อขอคำปรึกษาว่า จะซื้ออะไรเป็นของขวัญวัน Valentine ให้กับแฟนหนุ่มดี

หญิงสาว        “คุณแม่ขาใกล้จะถึงวัน Valentine แล้วค่ะ จะซื้ออะไรให้เค้าดี
คุณแม่        “แฟนลูกเป็นคนยังงัยจ้ะ

หญิงสาว        “เป็นคนดีมากค่ะ หล่อเข้าขั้นนายแบบ มีความรับผิดชอบเหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เล่นการพนัน ไม่เจ้าชู้
คุณแม่        “เค้ามีพี่น้องกี่คนจ้ะ
หญิงสาว   เค้าเป็นลูกคนเดียวค่ะ
คุณแม่           “แล้วหน้าที่การงานของเค้าละลูก
หญิงสาว   “เค้าจบด๊อกเตอร์มาจากเมืองนอก หน้าที่การงานระดับผู้บริหาร ฐานะทางบ้านเข้าขั้นเศรษฐีเลยละค่ะคุณแม่ขา

คุณแม่     “ถ้างั้นแม่ว่า ให้ท่า เค้าเถอะลูก!!!”

.......................................................................

ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว!


ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว!

ไอ้ หนุ่มบ้านนอกคนหนึ่ง พาลูกเมียมากรุงเทพเป็นครั้งแรก เขาจึงพากันมาเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้า โดยเขาเดินนำหน้าภรรยามากับลูกชาย พวกเขาตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะ “ประตูสีเงินสองบาน” ซึ่งสามารถเปิดออกและหุบเข้ามาหากันด้วยตัวเองได้
“นั่นอะไรหรือพ่อ?” ลูกชายถาม
“พ่อก็ไม่เคยเห็นอะไรที่หน้าตาอย่างนี้มาก่อ เหมือนกัน”พ่อตอบ ขณะที่สองพ่อลูกยืนดูอยู่นั้นก็มี หญิงชราคนหนึ่ง นั่งรถเข็นไปที่หน้าประตู เมื่อกดปุ่มที่ผนัง ประตูก็เปิดออก หญิงชราเลื่อนรถเข็นเข้าไปในห้องเล็กๆนั้น แล้วประตูก็ปิดลงอีกที
สอง พ่อลูกยืนดูปุ่มเล็กๆ ที่มีตัวเลขเหนือประตูนั้นสว่างแล้วดับไล่กันไปช้าๆ เขาดูจนกระทั่งมันเลื่อนตำแหน่งไปถึงปุ่มสุดท้าย แล้วแสงไฟก็สว่างไล่กลับมาทางเดิม จนในที่สุดประตูก็เปิดออกอีกครั้ง
คราวนี้มี สาวสวยคนหนึ่ง เดินออกมา ไอ้หนุ่มบ้านนอกยืนตาค้าง ก่อนที่จะกระซิบบอกลูกชายว่า

“ไอ้หนู ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว?”

.......................................................................

ต้องนั่งตรงๆ


ต้องนั่งตรงๆ

ครู สมชาย เป็นครูเกษียณอายุ มานานหลายปีแล้ว ซ้ำโชคร้ายร่างกายเป็นอัมพาตส่วนล่าง ไม่สามารถเดินได้เอง ไปไหนมาไหนก็ต้องใช้รถเข็นตลอด แต่เนื่องจาก ครูสมชาย มีเงินบำนาญ และมีเงินเก็บอยู่มากพอสมควร ลูกหลานก็เลยจ้างพยาบาลให้คอยดูแลตลอดเวลา

วันหนึ่ง ครูสมชาย อยากออกไปสูดอากาศข้างนอก ก็เลยบอกกับพยาบาลว่า
คุณพยาบาล พาผมออกไปดูธรรมชาติ ข้างนอกหน่อยเถอะ
พยาบาล ก็เข็นรถเข็นของครูสมชาย และพาไป ครูสมชาย ออกไปนอกบ้าน ตามที่เขาต้องการ

สักพัก ครูสมชาย ก็นั่งเอียงตัวลงไปซ้าย พอพยาบาลเห็นเข้าก็จับตัวของ ครูสมชาย ให้นั่งตัวตรงเช่นปรกติ
พอ อีกครู่หนึ่งตัวของ ครูสมชาย ก็เริ่มเอียงลงไปทางขวา พยาบาลก็จัดแจง จับตัวของเขาให้นั่งตรงๆเช่นเดิม เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งหลายหนจน ครูสมชาย หันกลับไปพูดกับพยาบาลอย่างมีอารมณ์ว่า

“นี่คุณพยาบาล จะให้ผมตดมั่งไม่ได้รึไง ฮึ!

.......................................................................

ข้อความสุดท้าย


ข้อความสุดท้าย

สมชาย เป็นคริสเตียนที่ดีคนหนึ่ง ตอนนี้เขาป่วยหนักนอนใกล้ตายอยู่ในโรงพยาบาล ญาติๆเรียกนักบวชมา

เมื่อนักบวชมายืนข้างๆเขา สมชาย ขยับมือเพื่อต้องการเขียนอะไรบางอย่าง นักบวชรีบส่งปากกากับเศษกระดาษให้กับเขา สมชาย ใช้แรงที่เหลือทั้งหมด เขียนข้อความได้เพียงประโยคเดียวก็สิ้นลม
นักบวชจึงเก็บกระดาษไว้ในกระเป๋า พร้อมกับเสียง ร้องไห้เสียใจของญาติๆ

ในพิธีฝังศพ หลังจากที่นักบวชคนเดิมกล่าวคำตามพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นึกถึงเศษกระดาษที่ สมชาย เขียนไว้ก่อนตาย เขาจึงประกาศว่า
ก่อนสิ้นลม สมชาย ได้ฝากข้อความ ไว้ให้พวกเรา ฉันมั่นใจว่าจะเป็นคำที่ให้กำลังใจพวกเราได้ดี แล้วนักบวชก็ล้วงเอากระดาษออกมาอ่านด้วยเสียงอันดังว่า

ถอยไปไอ้บ้า แกยืนเหยียบสายออกซิเจนอยู่โว้ย!”

.......................................................................

คู่ทุกข์คู่ยาก


คู่ทุกข์คู่ยาก

สมชาย โดนรถชนอาการสาหัส แต่โชคดีที่ สมศรี เมียสาวไม่เป็นอะไร ระหว่างการนำส่งโรงพยาบาล สมชายอยู่ในอ้อมแขนของ สมศรีเมียรัก

สมชาย:   “สมศรี ผม กำ ลัง จะ ตาย
สมศรี:     “ไม่ค่ะสมชาย คุณต้องไม่เป็นไรนะคะ” ทั้งคู่ ฟูมฟายเหมือนหนัง ละครทั่วๆ ไป
สมชาย:   “เมื่อสองปีก่อน ธุรกิจผมพังพินาศ ผมก็มีคุณอยู่ใกล้ๆอย่างนี้”
สมศรี:     “ก็ฉันเป็นเมียคุณนี่คะ”
สมชาย:   “เมื่อปีที่แล้วศาลฟ้องผมให้ล้มละลาย ก็มีคุณอยู่ไม่ห่าง”
สมศรี:     “โธ่ สมชายอย่าพูดแบบนั้นสิคะที่รัก”
สมชาย:   “ปลายปีที่แล้ว จำได้ไหมผมโดนยิงเกือบตาย
ก็มีคุณอยู่ใกล้ๆ อีก”
สมศรี:     “อย่าพูดเลยค่ะ ยังไงสมศรีก็จะไม่ทิ้งคุณหรอกนะคะ สมชาย”

ทันใดนั้น สมชายก็สำลักเลือดที่ไหลออกทางปาก และเขาก็รู้ตัวว่าเขากำลังจะตาย

สมชาย:   “สมศรี เข้ามาใกล้ๆผมหน่อย ผมอยากจะบอกอะไรคุณสักอย่างก่อนที่ผมจะตายไป”
สมศรีเอียงหูเข้าไปใกล้ เพื่อให้แมนสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย

สมชาย:   “จำไว้นะอีศรีมึงน่ะมันตัวซวยคร๊อก!

แก่แล้วนะ แต่ก็วิเศษมาก


แก่แล้วนะ แต่ก็วิเศษมาก

สมชาย ต้องการเอาใจแกมกระเซ้า สมศรี ภรรยาด้วยการซื้อเค้กวันเกิดปีที่ 35 เมื่อไปถึงร้านขนมเค้ก เขาก็สั่งให้จัดขนมเค้กขนาด 3 ปอนด์ และให้เขียนข้อความลงที่หน้าเค้ก

สมชาย: ช่วยเขียนคำว่า "เธอแก่แล้วนะ" แล้วก็คำว่า "แต่ก็วิเศษมาก" ด้วยนะครับ
พนักงานขาย:      พี่จะให้จัดเรียงตัวหนังสือยังไงคะ?
สมชาย: เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาคำว่า "เธอแก่แล้วนะ" ตรงข้างบน (เขาชี้ให้ดูที่เค้ก) และใช้คำว่า "แต่ก็วิเศษมาก" ตรงข้างล่าง อย่างนี้นะครับ
พนักงานขาย: ได้ค่ะ!

เมื่อถึงวันเกิดของภรรยาสุดที่รัก สมชายก็จัดการเอาขนมเค้กที่เตรียมไว้ส่งให้ทันที และเมื่อสมศรีเปิดกล่องขนมเค้กท่ามกลางบรรดาแขกไฮโซไฮซ้อที่มางานทั้งหลาย เธอก็เกิดอาการตกใจ หน้าแดงก่ำด้วยความอาย ทำให้สมชายรู้สึกงงเป็นอันมาก จึงได้ก้มลงอ่านข้อความเขียนไว้บนหน้าขนมเค้กว่า..

"เธอแก่แล้วนะ ตรงข้างบน แต่ก็วิเศษมาก ตรงข้างล่าง"

......................................................................

I am ……


I am ……

มี พระราชาองค์หนึ่งรักการยิงธนูเป็นชีวิตจิตใจ ประกาศให้ชายหนุ่มที่มีความสามารถในการยิงธนู มาประลองกันเพื่อผู้ชนะจะได้แต่งงานกับพระธิดาสุดสวย ในที่สุดก็คัดเลือกชายหนุ่มจากทั่วสารทิศมาเข้าร่วมแข่งขันประลองธนูได้ 3 คน

โดยพระราชาให้นำผล “แอ๊ปเปิ้ล” ไปวางไว้บนศีรษะของพระธิดาเพื่อเป็น “เป้า” ชายคนแรกยิงลูกศรปักเข้าที่กลางลูกแอ๊ปเปิ้ลพอดี ผู้คนตบมือกันดังสนั่น ชายคนแรกโค้งคำนับแล้วพูดว่า "I'm Robinhood" แล้วก็เดินกลับไปยังที่นั่ง
ชาย คนที่สองจึงทำการยิงบ้าง ลูกธนูแล่นเข้าเสียบท้ายลูกธนูดอกแรกอย่างแม่นยำ และไปทะลุลูกแอ๊ปเปิ้ล อีกทีหนึ่ง ชายคนที่สองประกาศอย่างเสียงดังว่า "I'm Herculis" เสียงปรบมือจากคนดูดังสนั่นกว่าเดิม

ชายคนสุดท้ายเดินออกมาอย่างมั่นใจ ง้างคันธนูเต็มแรง ลูกศรพุ่งแหวกอากาศ เสียบปึ๊ก! เข้าที่หน้าผากของพระธิดา เลือดทะลัก พระธิดาล้มลงขาดใจตายทันที ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ชม ชายคนที่ 3 ก็เกาหัวแกรกๆ แล้วประกาศออกไปว่า

"I'm sorry" แล้วย่องจากไปเงียบๆ

.......................................................................

กล่องลับ


กล่องลับ

มีสมศรีกับสมชายแต่งงานกันมาแล้ว 20 ปี สมชาย มีกล่องลับอยู่ใบหนึ่ง ที่เขาห้ามไม่ให้ผู้ใดเปิดนอกจากเขาเพียงคนเดียว ดังนั้น ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา สมศรี ก็ยังไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกล่องใบนั้น
ครั้นพอถึงวันครบรอบวันแต่งงาน 20 ปี สมชาย ก็ถามกับภรรยาว่า อยากได้อะไรเป็นของขวัญก็จะให้ทุกอย่าง สมศรีก็เลยบอกสามีว่า

สมศรี:     ฉันอยากจะรู้ว่า มีอะไรอยู่ในกล่องใบนั้นจะได้ ไหม?
สมชายอึกอักอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็ตอบกับภรรยาว่า
สมชาย:   ได้สิ! ถ้าเธอต้องการเช่นนั้นจริงๆ

สมศรี รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ขณะที่สามีหยิบกล่องลับใบนั้นออกมา และเมื่อสามีเปิดกล่องให้ดู เธอก็เห็น

ขวดลิโพอยู่ 3 ขวด และเงินอีก 4,000 บาท

สมศรี:           ของพวกนี้ มันคืออะไรค่ะ?
สมชาย:   มันเป็นสิ่งเตือนใจของผมครับ ขวดลิโพ ก็คือ จำนวนครั้งที่ผมนอกใจคุณนั่นเอง

สมศรีนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วก็บอกว่า
สมศรี:     เราแต่งงานกันมา 20 ปี ถ้าคุณจะนอกใจไปบ้างเพียง 3 ครั้ง คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ
สมศรี:     แล้วเงิน 4,000 บาทนี่ล่ะคะ มันหมายความว่าอะไร?
สมชาย:   อ๋อ! ก็เป็นเงินที่ขายขวดลิโพได้ไง.."

.......................................................................

ช่างสงสัย


ช่างสงสัย

ด้วยความที่เป็นคุณพ่อที่รักลูกชายมาก ดังนั้น เมื่อมีเวลา คุณพ่อจึงพยายามใช้เวลาอยู่กับลูกชายให้มากที่สุด
เช้า วันหนึ่ง คุณพ่อจึงพาลูกชายเข้าไป อาบน้ำด้วยกัน หลังจากที่ประตูห้องน้ำปิดไปได้สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงดังลอดออกมาจากในห้องน้ำว่า

ลูกพ่อๆ ทำไมของผมเล็กกว่าของพ่อล่ะ
พ่อ: เอาเถอะน่า อีกหน่อย ลูกโตขึ้น ก็จะมีเหมือนของพ่อ
ลูก:  พ่อๆ ทำไมของผม มีขนน้อยกว่าของพ่อล่ะ
พ่อ: เอาเถอะน่า อีกหน่อย ลูกโตขึ้น ก็จะมีเหมือนของพ่อ

ลูก:  พ่อๆ ทำไมของผมสั้นกว่าของพ่ออีกล่ะ
พ่อ: เอาเถอะน่า อีกหน่อย ลูกโตขึ้น ก็จะมีเหมือนของพ่อ

ลูกพ่อๆ แล้วทำไมของผม...

เสียพ่อขัดขึ้นอย่างรำคาญ

พ่อ: เอาละๆ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้ว พ่อจะพา ไปซื้อ แปรงสีฟัน อันใหม่ให้ เอาให้เหมือนของพ่อเปี๊ยบเลยก็ได้

ช่างมัน


ช่างมัน

เมื่อเมียสุดที่รักตายไปครบ 7 วัน อาแป๊ะก็ไปหา
“คนทรง” เพื่อถามข่าวคราวว่า เมียของแกตอนนี้อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง

"เมียลื้อตอนนี้อยู่ห่างจากสวรรค์ 100 เมตร" คนทรงบอก
"ไอ๋หยา ทำไงอีจะถึงสวรรค์ล่ายล่ะ" แป๊ะถาม

"อั๊วจะทำพิธีส่งให้ ค่าใช้จ่ายก็ 8,000 บาทเอง"
"ล่ายล่าย ลื้อช่วยทำให้หน่อยเลี้ยวกัง"
เพื่อเมียที่รัก อาแป๊ะ ยอมจ่ายเงินก้อนนั้นไป
เดือนต่อมา อาแป๊ะ แวะมาหาคนทรง เพื่อถามเรื่องเมียอีกครั้ง

"ทำพิธีไปคราวก่อนช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เมียลื้ออยู่ห่างสวรรค์แค่ เมตรเดียว ลื้อต้องให้อั๊วทำพิธีช่วยอีกครั้ง"

แต่เที่ยวนี้ อาแป๊ะ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

"ช่างมัง แค่เมตรเลียว ถ้าอีไม่มีปัญญาปีนขึ้นไป ก็ให้อีอยู่ตรงนั้นแหละ"

.......................................................................

ร้านขายสามี และภรรยา

ร้านขายสามี และภรรยา

ณ ร้านขายสามี แห่งหนึ่งชื่อ Perfect spouse Shop ที่ เพิ่งเปิดตัวที่นิวยอร์กซิตี้ เป็นร้านซึ่งผู้หญิงสามารถเข้าไปเลือกซื้อสามีได้ ซึ่งที่ประตูทางเข้าร้านมีคำอธิบายว่าห้างนี้ให้การบริการอย่างไรบ้าง และเงื่อนไขสำคัญก็คือ
คุณมาที่ร้านแห่งนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ร้านนี้มี 6 ชั้น และคุณค่าของสินค่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามชั้นที่คุณเดินขึ้นไป คุณสามารถซื้อสามีได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่จะซื้อสามีในชั้นใดก็ได้ที่คุณรู้สึกพึงพอใจ ซึ่งเมื่อซื้อแล้วจะต้องชำระเงินแล้ว ต้องพาสามีคนนั้นออกไปจากร้านทันที แต่ถ้ายังไม่พอใจสินค้าที่อยู่ในชั้นนั้นๆ ก็สามารถจะขึ้นไปยังชั้นถัดไปได้ ซึ่งถ้าหากคุณผ่านชั้นไหนไปแล้ว ก็จะไม่สามารถย้อนกลับลงมาซื้อสินค้าในชั้นนั้นๆได้อีก นอกจากจะออกจากร้านไปเลย
บรรดาผู้หญิงต่างก็ไปที่ร้านนี้เพื่อหาซื้อสามีที่ตนพอใจและเมื่อพวกเธอเข้าไปในร้าน
ชั้นแรก มีป้ายเขียนว่า ชั้น 1 ผู้ชายเหล่านี้มีงานดีๆทำ
ที่ชั้นสอง มีป้ายเขียนว่า ชั้น 2 ผู้ชายเหล่านี้มีงานทำและรักเด็ก
ที่ชั้นสาม มีป้ายเขียนว่า ชั้น 3 ผู้ชายเหล่านี้มีงานทำ รักเด็ก และหน้าตาดีสุดๆ
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ถึงชั้นนี้มักจะคิดว่า ว้าว!...ดีจังเลย” แต่พวกเธอก็ยังขึ้นไปยับชั้นต่อไปอีก
ที่ชั้นสี่ มีป้ายเขียนว่า ชั้น 4 ผู้ชายเหล่านี้มีงานทำ รักเด็ก หน้าตาดีสุดๆ และช่วยทำงานบ้าน
“โอ้! พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ฉันแทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วนะ” พวกเธอคิดแต่เธอก็ยังเดินขึ้นต่อไปยังชั้นที่ห้า
ที่ชั้นห้า มีป้ายเขียนว่า ชั้น 5 ผู้ชายเหล่านี้มีงานทำ รักเด็ก หน้าตาดีสุดๆ ช่วยทำงานบ้าน และโรแมนติกมากมาย
“โอ้โหมีสามีที่ดีขนาดนี้ด้วยหรือนี่” แต่เธอก็ยังเดินขึ้นไปยังชั้นหก
ที่ชั้นหก มีป้ายเขียนว่าที่ ชั้นนี้ไม่มีผู้ชายให้คุณเลือกอีกแล้ว เพราะเราต้องการพิสูจน์ว่า ผู้หญิงไม่มีวันพอใจอะไรง่ายๆ หรอกจริงไหมครับ ขอบคุณที่มาใช้บริการติ๊งต่อง!!!!
และ เพื่อไม่ให้เกิดความครหาว่าลำเอียง เจ้าของร้านได้เปิดร้านใหม่อีกร้านหนึ่ง เป็นร้านขายภรรยา อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
เงื่อนไขการใช้บริการเหมือนกัน
ที่ชั้นแรก มีภรรยาทีชอบมีเซกส์
ชั้นสอง มีภรรยาที่ชอบมีเซกส์ และมีเงิน
ส่วนที่ ชั้นสามจนถึงชั้นหก ยังไม่รู้ว่ามีอะไรมั่ง

เพราะว่าตั้งแต่เปิดร้านมา ยังไม่เคยมีใครขึ้นมาถึงเลย
.......................................................................

ถึงไม่ถูก...แต่ชอบวิธีตอบนะ

ถึงไม่ถูก...แต่ชอบวิธีตอบนะ

ในห้องเรียนครูสาวสวยคนหนึ่ง กำลังสอนนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ เธอยกตัวอย่างโจทย์ให้นักเรียนว่า
ครู:   มีนก 3 ตัว เกาะอยู่บนสายไฟ นายพรานเอาปืนยิงโดน นกตัวหนึ่งตกลงมา จะเหลือนกกี่ตัว
บอย: เหลือหนึ่งตัวครับ
เด็กชายบอย ตอบอย่างมั่นใจ
ครู:   ไม่ถูกนะครับ ไหนหนูลองคำนวณดูอีกทีสิครับ
ครูสาวตอบด้วยความอดทน พร้อมทั้งชูนิ้วขึ้นสามนิ้วประกอบการอธิบาย
ครูมีนกสามตัวเกาะบนสายไฟ นายพรานยิงไปหนึ่งตัว ครูสาวพูดจบพร้อมทั้งลดนิ้วลงหนึ่งนิ้ว จะมีนกเหลืออยู่บนสายไฟกี่ตัวเอ่ย?
บอย:     เหลือหนึ่งตัวครับ
เด็กชายบ๊อบตอบย้ำเหมือนเดิมอีกอย่างขึงขัง ครูสาวชักสงสัยในความมั่นใจของลูกศิษย์จังขอให้อธิบาย
บอย:     ง่าย มากครับ เมื่อนายพรานยิงปืนหนึ่งนัดโดนนกหนึ่งตัว นกที่เหลือก็จะตกใจบินหนีไปหมด ดังนั้น จึงเหลือนกตัวที่ถูกนายพรานยิงตกอยู่ตัวเดียวครับ
ครูอืมเธอตอบได้ดีนะ ถึงแม้ว่าไม่ถูกต้องตามโจทย์ และหลักคณิตศาสตร์ก็ตาม แต่ครูชอบวิธีคิดของเธอนะ
บอย:     เอาอย่างนี้ดีกว่าครับครู ให้ผมถามคุณครูบ้างได้ไหมครับ
ครูได้ซิจ๊ะ ไหนจะถามอะไรล่ะ?
บอย:     มี ผู้หญิงสามคนนั่งบนม้านั่ง กำลังกินไอติมดุ้นยาวอยู่ผู้หญิงคนแรกเลียแท่งไอติม ผู้หญิงคนที่สองกัดแท่งไอติม ส่วนผู้หญิงคนที่สามดูดแท่งไอติม ผมถามครูว่า ผู้หญิงคนไหนแต่งงานแล้ว
ครูสาวก็แดงระเรื่อขึ้นแล้วอึ้งไป
ครู:  ผมถามอีกทีก็ได้นะครับ มีผู้หญิงสามคนนั่งบนม้านั่ง
กำลังกินไอติมดุ้นยาวอยู่ ผู้หญิงคนแรกเลียแท่งไอติม
ผู้หญิงคนที่สองกัดแท่งไอติม ส่วนคนที่สามดูดแท่งไอติม ผมถามครูว่าผู้หญิงคนไหนแต่งงานแล้ว
บอย:     ครูคิดว่า ครูคิดว่าคงเป็นผู้หญิงคนที่ ดูดไอติม เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
บอย:     ไม่ใช่ครับครู คนที่แต่งงานแล้วคือ คนที่มีแหวนแต่งงานสวมอยู่ที่นิ้วมือไงครับ
เด็กชายบอยอมยิ้ม พร้อมกับพูดตบท้าย
บอย:     ถึงครูจะตอบไม่ถูก แต่ผมก็ชอบวิธีคิดของครูนะ
.......................................................................

บทกวีในงานแต่งงาน

บทกวีในงานแต่งงาน

ในงานแต่งงานงานหนึ่ง   ในขณะที่ดื่มกินกันไปได้สักพักใหญ่  พิธีกร ในงานก็เชิญคู่บ่าวสาวขึ้นเวทีเพื่อกล่าวอะไรเล็กๆน้อยๆ เพื่อเป็นการขอบคุณแขกที่ให้เกียรติมาร่วมงานแต่ง เจ้าบ่าวซึ่งเริ่มจะได้ที่ก็เลยกล่าวออกมาเป็นบทกลอนว่า
วันนี้ดีใจจะได้เมีย
หลังจากที่ได้เสียกันหลายหน
วันนี้จะมีเมียเป็นตัวตน
ขอบใจแขกทุกคนที่มางาน
พอกล่าวจบเท่านั้น   พวกเพื่อนๆเจ้าบ่าวปรบมือกันเกรียวกราว ต่างก็พูดกันขรมว่า  ”มันแน่จริงๆว่ะเพื่อนกู
ฝ่ายเจ้าสาวก็รู้สึกอับอาย และเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวขอบคุณบรรดาแขกที่มาร่วมงานด้วยเสียงหวานๆน่ารักว่า
“เช่นกันค่ะ วันนี้ดีใจจะได้ผัว
หลังจากที่เสียตัวมาหลายหน
วันนี้จะมีผัวเป็นตัวตน
แต่เป็นคนที่เท่าไหร่ไม่ได้จำ”
.......................................................................

แขกขาประจำ

แขกขาประจำ

เมื่อ เพื่อนรัก นำของขวัญวันเกิดเป็นนกแก้วช่างพูดมาให้ ในตอนสายของวันหนึ่ง ซึ่งกรงนกนั้นมีผ้า คลุมอย่างมิดชิด แล้วจึงบอกกับ สมชาย ว่า อย่าเพิ่งเปิด ผ้าคลุมออกภายใน 3 วันนี้ เพราะนกตัวนี้ ถูกเลี้ยงและโต ขึ้นมาในซ่องแห่งหนึ่ง มันจึงชอบพูดแต่คำ หยาบคาย ให้ทิ้งไว้สักพักหนึ่งให้มันลืมๆ ไปก่อน สมชาย จึงเอากรงนก ไปแขวนไว้ในบ้าน แล้วรีบ ปิดบ้านออกไปทำงาน
ตอนเย็น สมศรี กลับมาถึงบ้านก่อนใคร มองเห็นกรงนก มีผ้าคลุม แขวนอยู่ จึงเปิดดูด้วยความสงสัย
ว้าวๆ.. แม่เล้าคนใหม่ๆเจ้านกทะลึ่งร้องออกมาอย่างดีใจ สมศรี ได้ยินอย่างนั้นก็โกรธมาก รีบปิดผ้าคลุม แล้วเดินหนีเข้าครัวไป
ต่อมา ลูกสาวของสมชาย ก็กลับมาจากโรงเรียนมองเห็นกรงนก จึงเดิน เข้าไปเปิดผ้าดู
ว้าวๆ… กะหรี่ตัวใหม่ๆเจ้านกทะลึ่งร้องออกมาอย่างดีใจ ลูกสาวของสมชาย รู้สึกโกรธมาก จึงเดินหนีไปอีกคน
ในขณะเดียวกัน ลูกชายของสมชาย ก็กลับมาถึงบ้าน พอ มองเห็นกรงนกก็เดินเข้าไปเปิดผ้าดู
ว้าวๆ… แมงดาคนใหม่ๆเจ้านกทะลึ่งร้องออกมาอีก ลูกชาย จึงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง และเดินหนีเข้าไปข้างใน
พอ ตกดึก สมชาย เมาแอ๋.. กลับมาถึงบ้านจำไม่ได้ว่ากรงอะไร จึงเดินโซเซ เข้าไปเปิดผ้าดู เจ้านกทะลึ่งปรือตามองอย่างงัวเงีย แล้วส่ายหน้า ก่อนจะพึมพำว่า
โธ่เอ๊ยแขกขาประจำ
.......................................................................

คำสาปของเจ้าหญิง

คำสาปของเจ้าหญิง

กาล ครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่ เจ้าหญิงคนหนึ่งถูกสาปไว้ว่า ถ้าจับสิ่งใดสิ่งนั้นก็จะหลอมละลายกลายเป็นไอน้ำไป พระราชาเป็นห่วงบุตรี พยายามหาวิธีแก้ไขอย่างไรก็มิหาย หมดหนทางที่ จะช่วย
แต่ จู่ ๆ ก็มีนางฟ้ามาปรากฏกายขึ้น และก็จะถอนคำสาปให้หายโดยพลัน แต่นางมีข้อแม้อย่างหนึ่งว่า จะต้องมีผู้ชายคนหนึ่งที่นำบางสิ่ง มาให้เจ้าหญิงจับแล้วไม่ละลาย คำสาปนั้นจึงจะหายไป
พระราชาไม่รอช้ามุ่งหน้าป่าวประกาศโดยพลัน หากชายใดสามารถถอนคำสาปได้ฉันจะยกลูกสาวให้ จนในที่สุดก็มีผู้ชายที่อาสามา 3 คน
คน ที่หนึ่งจึงเริ่มเอาของดีมาให้เจ้าหญิงจับ เพื่อถอนคำสาป เขาหยิบโครตเพชรเม็ดงาม ยื่นให้กับเจ้าหญิง เจ้าหญิงจึงยื่นมือไปแล้วแตะเพชรเม็ดนั้นในทันที ยังไม่ทันจะแตะได้เต็ม มือ เพชรก็หายละลายไปสิ้น
“ฉันเสียใจด้วยจริงๆ ที่เพชรของท่านต้องละลายไป” เจ้าหญิงกล่าว
ชาย คนที่สองรองถัดมา ก็เดินมาเบื้องหน้าของเจ้าหญิง ยื่น ดาบเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งที่สุด ให้เจ้าหญิงจับ แต่เมื่อมือของเจ้าหญิงสัมผัสดาบเล่มนั้น มันก็ละลายหายไป
“ต้องขอโทษด้วย ที่ทำให้เสียดาบของเธอไป” เจ้าหญิงกล่าวปลอบใจ
แล้วคนสุดท้ายเดินออกมา เขาไม่ได้ถืออะไรมาด้วย แล้วเขาก็บอกให้เจ้าหญิง เอามือล้วงลงไปในกางเกงของเขาเพื่อจับบางสิ่งที่อยู่ในนั้น
เจ้าหญิงจึงล้วงลงไปในกางเกงของชายผู้นั้น หน้าเจ้าหญิงก็เริ่มแดง ด้วยความเขินอาย แล้วจึงรีบดึงมือออกโดยพลัน หันมาบอก ราชา
“เสด็จพ่อเพคะ มัน…. มันยังแข็งอยู่เลยคะ”
ในที่สุดชายคนที่ 3 ก็ได้เป็นผู้ชนะไป พระราชาสงสัย ว่ามันคืออะไร ที่อยู่ในกางเกงของชายผู้นั้น
ชายคนที่ 3 ไม่ยอมตอบ ได้แต่อมยิ้ม และก็ได้ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขา แล้วหยิบมันออกมา
และสิ่งนั้นคือ…  เอ็มแอนด์เอ็ม ช๊อกาแล็ตที่ละลายในปากแต่ไม่ละลายในมือ
.......................................................................